Vitamin E เกราะปกป้องผิวจากความแก่ที่มากับแสงแดด
Vitamin E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบอยู่ที่ผิวหนังเราตามธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของ α-tocopheral และ ในรูป ᵧ-tocopherol เล็กน้อย พบว่าเมื่อผิวถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวี ในระดับที่น้อยกว่าจะกระตุ้นให้เกิดการแดงระคายเคืองผิว จะสามารถลดระดับของ α-tocopheral ในผิวหนังลงราว 50% ผิวของเราเป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของร่างกาย เป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับมลภาวะ และแสงแดดอยู่เป็นประจำ เมื่อผิวถูกทำร้ายจากสภาวะแวดล้อมจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นและไปส่งผลรบกวนการเมลาบอลิซึมในเซลล์ รวมถึงส่งผลเสียหายต่อโครงสร้างชั้นผิวหนังได้ ตามธรรมชาติร่างกายของเราจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่ที่ผิวหนังเพื่อคอยเป็นเกราะปกป้องผิวลดอันตรายที่จะเกิดขึ้น เช่น วิตามินอี เรียกว่าเป็น “physiological barrier antioxidant” แต่หากเรามีการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมาก เช่น ได้รับรังสียูวีจากแสงแดดจัด หรือ เกิดการสร้างอนุมูลอิสระขึ้นภายในร่างกายจากกระบวนการอักเสบ รวมถึง การผลิตสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกายลดลง จากอายุที่มากขึ้น, การขาดสารอาหาร,พันธุกรรม ฯลฯ ก็จะส่งผลให้ความสมดุลระหว่างอนุมูลอิสระ และสารต้านอนุมูลอิสระสูญเสียไป จนนำไปสู่การเสื่อสลายของโครงสร้างโปรตีน, ไขมัน, DNA ที่ผิวหนังได้ค่ะ
ในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง Vitamin E ถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องผิวเนื่องจากมีการวิจัย และการทดลองมากมายที่สนับสนุนว่า Vitamin E มีผลในการเป็น Photoprotective Effect หรือปกป้องผิวจากแสงแดด โดยพบว่าการทาวิตามินอีที่ผิวก่อนสัมผัสแสงแดด สามารถช่วยลดการแดง, บวม, ผิวไหม้, การเสื่อมของ DNA, การเกิด Lipid peroxidation ที่ผิวได้ มีการศึกษาให้ทดลองทา 5% Vitamin E ที่ผิวนาน 24 ชั่วโมง พบว่าสามารถลดการเพิ่มขึ้นของ Macrophage metalloelastase ที่ผิวหลังการถูกกระตุ้นด้วยรังสียูวีได้ค่ะ
เราทราบกันดีว่า แสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดความแก่ ที่เรียกว่า Photoaging วิตามินอีสามารถช่วยป้องกัน และลดเลือนริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นจากการกระตุ้นด้วยแสงแดดได้ นอกจากนี้ยังพบว่า วิตามินอีในรูปแบบทายังสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้น Stratum corneum และเพิ่มความสามารถในการจับโมเลกุลน้ำได้
เราสามารถเพิ่มระดับวิตามินอีที่ผิวหนังได้โดยวิธีการรับประทาน หรือการทาบนผิวหนังโดยตรง กลไกการนำวิตามินอีเข้าสู่ผิวโดยการทานั้นยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าวิตามินอีเข้าสู่ผิวหนังโดยการจับกับเอนไซม์เฉพาะบางชนิด (α-tocopheral transfer protein) ปัจจุบันการใช้วิตามินอีในสกินแคร์นอกจากรูปแบของ α-tocopheral แล้ว ยังมีการใช้วิตามินอีในรูปแบเอสเทอร์ด้วย เช่น Tocopheryl acetate เนื่องจากมีความคงตัวมากกว่า แต่มีบางการศึกษาพบว่าวิตามินอีในรูปเอสเทอร์ไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดเหมือนกับ α-tocopheral ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากวิตามินอีในรูปเอสเทอร์ต้องเกิดปฎิกิริยา Hydrolysis ก่อนจึงจะออกฤทธิ์ ส่วนนี้จะทำให้ผลในการป้องกันเกิดขึ้นได้ช้า และส่วนของ Aromatic hydroxyl group เป็นส่วนที่มีความสำคัญในการเกิดปฎิกิริยาค่ะ
อ้างอิง
- บทความ เรื่อง Vitamin E in human skin: Organ-specific physiology and considerations for its use in dermatology โดย Jens J. Thiele ตีพิมพ์ในวารสาร Molecular Aspects of Medicine 28 (2007) 646–667.
- Cosmeceuticals vitamins โดย Mônica Manela-Azulay และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร Clinics in Dermatology (2009) 27, 469–474
Share this: