สวัสดีค่ะสาวๆ วันนี้ Jaslyn จะมาเล่าเรื่อง “น้ำหอม” ให้ฟังกันค่ะ
น้ำหอมเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สาวๆบางคนขาดไม่ได้เลย เพราะติดใจในกลิ่นหอม ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แถมยังเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความมั่นใจ และเติมเสน่ห์ให้กับเราอีกด้วย
แต่เคยสงสัยมั๊ยคะว่า ชื่อต่างๆที่เขียนไว้บนขวดน้ำหอมบอกอะไรเราบ้าง และทำไมราคาน้ำหอมแต่ละแบบถึงได้แตกต่างกัน
วันนี้ Jaslyn มีคำตอบมาฝากค่ะ
ว่าด้วยเรื่องน้ำหอม
น้ำหอม (Fragrance) มีวิธีการได้มาหลายแบบค่ะ เช่น ใช้วิธีสังเคราะห์จากสารเคมี เช่น สารเคมีในกลุ่มเอสเตอร์, ได้จากการกลั่นน้ำมันหอมระเหยจากพืชในส่วนต่าง เช่น ใบ ดอก จนได้อยู่ในรูปน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ (Pure essential oil), ได้จากการหีบ พืชในกลุ่มตระกูลส้ม หรือ อาจจะได้จากสัตว์บางชนิด ซึ่งมีกลิ่นหอม ก็ได้เช่นกัน ซึ่งการนำไปใช้ ต้องมีการเจือจางก่อน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการระคายเคืองได้สูงหากสัมผัสผิวโดยตรงค่ะ
น้ำหอม แบ่งตาม ความเข้มข้นของหัวน้ำหอมที่ผสมอยู่ในสารละลายน้ำหอม ได้เป็น 5 ประเภทค่ะ
- Perfume
น้ำหอมชนิดนี้จะมีหัวน้ำหอมละลายอยู่เข้มข้นที่สุด โดยมีหัวน้ำหอมละลายอยู่ 20 – 40% และมีความหอมติดทนนาน 6-8 ชั่วโมง กลิ่นน้ำหอมประเภทนี้จะฉุนมากๆค่ะ สาวๆบ้านเราไม่นิยมกันค่ะ เพราะว่าฉุนไปมากๆ น้ำหอมประเภทนี้จะแพงที่สุด เพราะเข้มข้นสุด เวลาใช้จะแต้มเป็นจุดๆ เช่น หลังหู คอ ข้อมือ
ต่างชาติหลายคนจะบอกว่าน้ำหอมประเภทนี้มีความสวยงามของกลิ่นมากที่สุด เพราะประกอบด้วย Top note, Medium note และ base note - Eau de Parfume
น้ำหอมชนิดนี้จะเจือจางมากขึ้นค่ะ (Eau de เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “น้ำ”) โดยในน้ำหอมกลุ่มนี้จะมีหัวน้ำหอมละลายอยู่เข้มข้น 15-20% น้ำหอมกลุ่มจะประกอบด้วย Top note และ Middle note เป็นส่วนใหญ่
น้ำหอมกลุ่มนี้เราจะสเปรย์ใส่เสื้อผ้า ผม ผิวได้ หลังจากฉีดไปแล้วความหอมจะติดทนนาน ประมาณ 4-6 ชั่วโมง - Eau de Toilette
น้ำหอมชนิดนี้จะเจือจางความเข้มข้นของหัวน้ำหอมลงมาอีก โดยมีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมละลายอยู่ 7-15%
หลังจากฉีดไปแล้วความหอมจะติดทนนาน ประมาณ 3-4 ชั่วโมง
ส่วนใหญ่ สาวๆในบ้านเราจะชอบน้ำหอมประเภทนี้เพราะกลิ่นจะค่อนข้างละมุน ไม่หอมแรงเกินไป - Eau de Cologne
น้ำหอมกลุ่มนี้จะมีความเข้มข้นของหัวน้ำหอม 3-7% ในตัวทำละลาย ตัวทำละลายส่วนใหญ่ที่ใช้มักเป็นแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยให้ระเหยเร็วขึ้น และให้ความรู้สึกเย็น สดชื่น หลังฉีดความหอมจะติดทนนาน ประมาณ 2-3 ชั่วโมง - Eau Fraiche
มาถึงกลุ่มสุดท้าย น้ำหอมกลุ่มนี้จะมีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมน้อยที่สุด อยู่ที่ประมาณ 1-3% ในตัวทำละลายแอลกอฮอล์ เค้าบอกว่าน้ำหอมกลุ่มนี้ทำมาเพื่อจับตลาดกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ หลังฉีดไปแล้วความหอมจะอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้น
นอกจากการแบ่งตามความเข้มข้นแล้วน้ำหอมยังสามารถแบ่งตามประเภทของกลิ่นตามลักษณะของกลิ่นได้ด้วยค่ะ โดยจะแบ่งเป็น
- Floral Notes : กลิ่นแนวดอกไม้ เช่น กลิ่นกุหลาบ กลิ่นจำปี กลิ่นกระดังงา
- Fresh Notes : กลิ่นแนวสดชื่น เช่น กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของพืชตระกูลส้ม, กลิ่นน้ำมันจากดอกแอปเปิ้ล
- Woody Notes : กลิ่นแนวไม้ เช่น กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากไม้สนซีดาร์, กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากแฝกหอม
- Oriental Notes : กลิ่นแนวเผ็ดร้อน เครื่องเทศ เช่น กลิ่นน้ำมันกานพู, กลิ่นชะเอมเทศ
การแบ่งอีกแบบที่นิยมมาก คือ แบ่งตามระยะเวลาการระเหยของโมเลกุลน้ำมันหอมระเหย แบ่งเป็น
- Top note
จะเป็นกลิ่นแรกที่เราได้กลิ่น กลิ่นจะโดดเด่น เฉียบแหลมเด้งออกมาเลย ส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นแนวสดชื่น เกิดจากน้ำมันหอมระเหยที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ระเหยเร็ว กลิ่นของ Top note จะอยู่ประมาณ 10-20 นาที - Middle note
กลิ่นจะตามมาหลัง Top note เล็กน้อย กลิ่นจะออกแนวนุ่มนวล กลิ่นของ Middle note จะอยู่นานประมาณ 2-3 ชั่วโมง - Base note
กลิ่นของ Base note จะติดอยู่นาน เนื่องจากโมเลกุลใหญ่ ระเหยช้าอาจติดอยู่นานถึง 24 ชั่วโมง
สิ่งที่ต้องระวังในการใช้น้ำหอม
- ระวังการแพ้ระคายเคือง โดยเฉพาะหากต้องออกแดดจัด ควรต้องระวังการใช้น้ำหอมฉีดตามร่างกายมากขึ้น
- น้ำหอมบางอย่าง เช่น พวก Aromatherapy มีผลต่อระดับความดัน และการเต้นของหัวใจได้ ในผู้ที่มีโรคประจำตัวต้องระมัดระวัง
- กลิ่นจากน้ำหอมสังเคราะห์ อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนได้ค่ะ
แล้วพบกันใหม่กับบทความดีจาก Jaslyn นะคะ

Share this: