รู้ทันใจตนเองด้วย 5 stage of grief
ตอนแรกคิดอยู่นานว่า จะเขียนเรื่องนี้ดีไหม เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าของประชาชนชาวไทย แต่ก็เพราะเรื่องเศร้านี้แหละที่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เรื่องที่พี่ผมเกือบลืมไปแล้วในสมัยเรียน และผมเห็นว่าเรื่องนี้ถ้านำไปประยุกต์ใช้เป็น จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและคนรอบข้างในอนาคต โดยเฉพาะยามที่มีข่าวร้ายมาเยือน ประกอบกับผมเห็นว่าความโศกเศร้าของเราคนไทยเริ่มคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ครับ
5 Stages of Grief คืออะไร
แรกเริ่มเดิมที 5 Stages of Grief มีที่มาจากหนังสือชื่อ “On Death and Dying” ของ Elsabeth Kubler-Ross ซึ่งหนังสือดังกล่าวพูดถึงภาวะของคนที่กำลังจะตาย หรือรับรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆแล้ว
คุณหมอ Elsabeth Kubler-Ross ได้กล่าวถึง Kübler-Ross Model ในหนังสือเล่มดังกล่าว โดย Kübler-Ross Model เป็นโมเดลที่อธิบายกระบวนการของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับความโศกเศร้าและความทุกข์ใจอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกนั้นจะเน้นอธิบายความทุกข์และความโศกเศร้าของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่มีทางรักษาและกำลังเผชิญหน้ากับความตาย
Kübler-Ross Model แบ่งปฏิกิริยาของความเศร้าโศก (stage of grief) ที่ เกิดขึ้นออกเป็น 5 ระยะ ซึ่งโมเดลนี้ก็ถูกพัฒนาเรื่อยมาจนมาเป็น 5 Stages of Grief ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ในแง่ของขอบเขตการนำไปใช้นั้นก็การนำไปใช้ที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ใช้อธิบายโดยเน้นไปที่ภาวะของผู้ป่วยระยะสุดท้าย ก็ขยายไปสู่การใช้ในการอธิบายผู้ที่สูญเสียของรัก หรือเผชิญความผิดหวังร้ายแรงในช่วงอารมณ์ที่เปราะบางของชีวิต เช่น การตกงาน หรือการสูญเสียเสรีภาพ
5 Stages of Grief อธิบายว่า เมื่อคนเราเผชิญความผิดหวัง เผชิญข่าวร้าย ตกอยู่ในความโศกเศร้า จะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น 5 ระยะ ได้แก่
- ระยะปฏิเสธ (denial)
ระยะนี้เป็นระยะแรก สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะนี้คือ ช็อค โดยเฉพาะหากได้รับข่าวร้ายโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ระยะนี้เราจะปฏิเสธสิ่งที่ได้รับรู้ ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับความจริง คนที่อยู่ในระยะนี้ จะพูดประมาณว่า “ไม่จริง” “เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก” “เป็นแค่ข่าวลวง” “กำลังเล่นมุกอยู่ใช่ไหม” ระยะนี้อาจเกิดสั้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่โดยมากมักเกิดขึ้นหลายชั่วโมง และอาจนานถึงหลายวัน
- ระยะโกรธ (anger)
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้คือความโกรธ ความโกรธเป็นหนึ่งในกลไกของจิตใจในการเยียวยาความรู้สึกที่เกิดจากความสูญเสีย หรือการได้รับข่าวร้ายนั้นๆ อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ในระยะนี้นั้นน่ากลัวที่สุด เพราะความโกรธมักไม่จำกัดอยู่เฉพาะกับตัวเอง แต่คนรอบข้างมักโดนด้วยเสมอ คนที่อยู่ในระยะนี้โกรธได้หมด โกรธได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โทษได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็น เพื่อน หมอ ครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่ฟ้าดิน เทวดา หรือพระเจ้า โดยมักเป็นการโทษเพื่อหา“แพะ รับบาป” ที่สำคัญคือเมื่อเราเจอคนที่อยู่ในระยะนี้มาโกรธเรา โทษเรา เราก็อย่าไปโกรธตอบ ในทางกลับกันเราควรพยายามรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของเค้าเหล่านั้น เพื่อช่วยให้เค้าผ่านระยะนี้ไปได้โดยเร็ว ตัวอย่างคนที่ติดอยู่ในระยะนี้มีให้เห็นบ่อยๆ เช่น- ญาติคนไข้เกิดการด่าทอหมอ ฟ้องร้องหมอ เมื่อผิดหวังกับผลการรักษา
– ทำงานผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วโทษเพื่อนร่วมงาน
– ทำธุรกิจล้มละลายแล้วโทษหุ้นส่วน เศรษฐกิจ โกรธรัฐบาล
จากตัวอย่างข้างต้น ส่วนนึงก็มีสาเหตุมาจากการที่พวกเค้าเหล่านั้นยังติดอยู่ในระยะนี้ - ระยะต่อรอง (bargaining)
ระยะนี้จะเป็นการต่อรองโดยการต่อรองในระยะนี้จะมีลักษณะพิเศษคือมักเป็นการต่อรองกับตัวเองในอดีต ส่วนใหญ่การต่อรองจะแฝงด้วยความรู้สึกผิดด้วย โดยเฉพาะความรู้สึกผิดที่ยังไม่ได้ทำอะไรก่อนหน้านั้น เช่น“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะไปทำ………”
“ถ้าตอนนั้นได้ทำ……. วันนี้ก็คงไม่เป็น……..”
“ฉันยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ฝันร้าย”
“ถ้าวันนั้นฉันตัดสินใจไปตรวจ วันนี้ก็คง…………..”
“ถ้าตอนนั้นตั้งใจกว่านี้ วันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“อยากทำ…..ให้เสร็จก่อน”
“ถ้าได้รับโอกาสอีกครั้ง ฉันจะ……….” - ระยะซึมเศร้า (depression) เมื่อผ่านระยะปฏิเสธ โกรธ และต่อรองไปแล้ว เราจะเริ่มเกิดการรับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเราต้องเผชิญความจริงอันโหดร้าย อารมณ์และความรู้สึกซึมเศร้าจะเริ่มเกิดขึ้น คนที่อยู่ในระยะนี้จะมีอาการซึมเศร้า หมดแรง มองโลกในแง่ลบ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ อยากตาย ความเศร้าและความว่างเปล่าจะแทรกซึมอยู่ในอณูของความคิด คนที่ซึมเศร้าจะมีอาการซึมเศร้าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับภูมิหลัง ประสบการณ์ และความเข้มแข็งของแต่ละบุคคล การแสดงออกจะมาในหลากหลายรูปแบบ บ้างก็หลีกหนีสังคม บ้างก็เก็บตัว บ้างก็ร้องไห้ หงุดหงิด ครุ่นคิดเกี่ยวกับความตายอย่างไรก็ดี ระยะเศร้านี้ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า เป็นเพียงอาการเศร้าเพราะจิตใจตอบสนองต่อการสูญเสีย และเป็นกระบวนการปกติที่จะเกิดขึ้นในการเยียวยารักษาจิตใจ อย่างไรก็ตามหากคนนั้นไม่สามารถหลุดออกจากช่วงนี้เป็นเวลานานกว่าคนปกติทั่วไป แสดงว่ากระบวนการทางจิตใจเริ่มมีปัญหา หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปก็อาจเป็นโรคทางจิตเวชได้ ดังนั้นการให้กำลังใจและประคับประคองจากคนรอบข้างของมีความสำคัญมากกับคนที่อยู่ในระยะนี้ เพื่อช่วยให้เค้าไม่ติดอยู่ในระยะนี้นานจนเกินไป
- ระยะยอมรับ (acceptance)
ระยะนี้อาการซึมเศร้าจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ผู้ที่ในระยะนี้จะเริ่มยอมรับสภาพและภาวะต่างๆได้แล้ว สามารถยอมรับความจริง และพร้อมที่จะเผชิญสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คำว่าสามารถยอมรับความจริงได้แล้วไม่ได้หมายความเราโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่หมายความว่าเราสามารถยอมรับสิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นนั้นได้แล้ว
ความสำคัญของ 5 Stages of Grief
คงจะไม่ผิด หากจะบอกว่า ผู้ใดไม่เข้าใจ 5 Stages of Grief ผู้นั้นก็ไม่เข้าถึงศิลปะการบอกร้าย เพราะ 5 Stages of Grief นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้ตัวเองรวมถึงคนอื่นว่า เมื่อยามเราต้องเผชิญกับข่าวร้ายและการสูญเสีย จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง และช่วยให้เราประเมินได้ว่าคนๆนั้นกำลังอยู่ในระยะไหน ผู้ที่อยู่ในระยะนั้นมีอาการอย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นกับเค้าต่อไป ทำให้เราเข้าใจภาวะจิตใจ อาการ และรู้เท่าทันความรู้สึกของเขาเหล่านั้น จะได้ประคับประคองและช่วยให้เค้าผ่านระยะต่างๆไปได้อย่างถูกต้อง และไม่ให้เค้าติดอยู่ในระยะใด ระยะหนึ่งนานจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม เราต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า มนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่ของปัจเจกบุคคลและประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ดังนั้นลำดับของระยะต่างๆอาจไม่ได้เรียงตามนี้เป๊ะ และอาจมีการข้ามขั้นกันเกิดขึ้นได้ หรือในบางครั้ง บางระยะอาจเกิดสั้นมาก จนแทบไม่รู้สึกว่ามีระยะนั้นเกิดขึ้นเลย
ปล. บทความนี้อาจไปคล้ายๆกับบทคความ รู้ทันภาวะใจตนกับ The 5 stages of grief ของเว็บ Tobepharmacist ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะผมเป็นผู้ดูแลทั้งเพจและเว็บ Tobepharmacist อยู่ด้วย (ทำ Tobepharmacist เป็นงานอดิเรก) และบทความต่างๆในนั้นผมก็เป็นคนเขียนขึ้นมาเอง ยังไงถ้ามีใครสนใจจะศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์ก็ตามไปที่อ่านกันได้นะครับ
ศิลปะการบอกข่าวร้าย
การบอกข่าวร้ายนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ อย่างไรก็ตามหลายๆครั้ง การแจ้งข่าวร้ายกับคนอื่นก็เป็นอะไรที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับหลายๆคน การแจ้งข่าวร้ายนั้นเป็นเรื่องยากเนื่องจาก
- ผู้แจ้งข่าวร้ายรู้สึกผิดและกลัวถูกตำหนิ
- ไม่รู้ว่าจะแจ้งข่าวร้ายยังไงดี
- ยังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะตอบคำถามผู้ถูกแจ้งได้ทั้งหมด
- กลัวความสัมพันธ์ที่เคยมีเสียไป
- กลัวเป็นการทำลายความหวังของคนอื่น
- ไม่รู้คนๆนั้นดีพอว่าเค้าเป็นคนยังไง
- กลัวการตอบสนองของคนที่ได้รับข่าวร้าย เช่น โกรธ วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือทำอะไรที่ไม่คาดคิด เช่น ขู่ทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย
เราควรแจ้งข่าวร้ายกับใคร
โดยปกติเราควรแจ้งข่าวร้ายโดยตรงกับคนๆนั้น อย่างไรก็ตามมีบางกรณีที่เราควรแจ้งแก่ญาติ คนสนิท หรือผู้ดูแลมากกว่า เช่น
- ผู้ที่เป็นโรคจิต
- เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ควรแจ้งแก่ผู้ปกครองของเด็กมากกว่า
- ผู้ที่แจ้งความจำนงไว้แต่แรกแล้วว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ไม่ต้องบอกกับเค้า
- ผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบและกระทำการอันตราย เมื่อเราแจ้งข่าวร้ายไป เช่น ขู่ทำร้ายตัวเอง, วางแผนคิดฆ่าตัวตาย
ขั้นตอนการแจ้งข่าวร้าย
- เตรียมความพร้อมในขั้นนี้เราต้องพิจารณาว่าภูมิหลังของคนๆนั้นเป็นยังไง มีประวัติการเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจอะไรมาก่อนหน้านี้ไหม การแจ้งข่าวให้เลือกสถานที่ที่มีความเป็นส่วนตัว คุยกันสองต่อสอง แต่ถ้าหากจำเป็นหรือเป็นความต้องการของคนๆนั้นก็ควรมีญาติ คนสนิทหรือบุคคลสำคัญมาร่วมฟังด้วย พยายามสร้างสัมพันธภาพที่ดีและมีความเป็นมิตร หากจำเป็นควรปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อไม่ให้มีการขัดจังหวะ เริ่มต้นควรใช้คำถามปลายเปิดเพื่อให้เกิดการสื่อสารระหว่าง 2 ฝั่ง เช่น ช่วงนี้สบายดีไหม, ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง, ตอนนี้รู้สึกยังไง ทั้งนี้การเลือกคำถามเป็นศาสตร์และศิลป์ เราจะเลือกคำถามได้ดีก็ต่อเมื่อเราเข้าใจลักษณะนิสัยและภูมิหลังของเค้าคนนั้นอย่างลึกซึ้ง
- ถามก่อนบอกการถามในขั้นตอนนี้เป็นการถามเพื่อตรวจสอบว่า ผู้ที่เราจะแจ้งนั้นทราบเรื่องที่เราจะแจ้งมาก่อนแล้วหรือไม่ ถ้าทราบ ทราบมาแล้วมากน้อยเพียงใด หรือถ้าพอทราบมาบ้างก็ถามเพื่อให้เข้าใจความรู้สึก คาดหวัง และการคาดเดาผลลัพธ์ของคนนั้นผู้นั้น รวมถึงประเมินว่าผู้นั้นเคยมีประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังจะบอกมาก่อนหรือไม่หากคนนั้นพอทราบมาบ้าง แต่มีบางประเด็นที่กำลังเข้าใจผิด เราก็ต้องใช้โอกาสนี้แก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้น และค่อยๆปรับเนื้อหาที่จะแจ้งให้เหมาะสม นอกจากนี้หากเค้าพอทราบมาบ้างแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเค้ากำลังอยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่งของ 5 Stages of Grief ให้เราฉวยโอกาสนี้ ประเมินด้วยว่า เค้าคนนั้นกำลังอยู่ในระยะใดของ 5 ระยะดังกล่าว
- เริ่มต้นแจ้งข่าวร้ายในขั้นนี้เราต้องประเมินว่าผู้นั้นอยากรู้ในแง่มุมใดของข่าวร้ายนั้นบ้าง และต้องการทราบมากน้อยเพียงใด เช่น
“คุณอยากให้ผมบอกรายละเอียดของเรื่อง……..ไหม”
“คุณอยากให้ผมบอกเรื่อง………อย่างไร”
“ถ้าเรื่องนั้นมัน………..คุณอยากให้ผมบอกคุณอย่างไร”
ในขั้นนี้ให้พิจารณาด้วยว่าผู้นั้นอยู่ในระยะใดของ 5 Stages of Grief เช่น หากผู้นั้นไม่อยากรับรู้ บ่ายเบี่ยงประเด็น อย่าพึ่งไปตัดสินว่าเค้าไม่อยากรู้ เพราะเค้าอาจอยู่ในระยะปฏิเสธอยู่ก็ได้ หากพบว่าเค้ายังอยู่ในระยะปฏิเสธและยังไม่พร้อมจะรับฟังข่าวร้าย เราก็ควรโอกาสให้ผู้นั้นได้มีโอกาสกลับมาถามเราอีกเมื่อเค้าพร้อม - ให้ข้อมูลข่าวร้ายให้นำข้อมูลทั้งหมดที่เราได้จาก 3 ขั้นแรก มาใช้ในการพิจารณาการบอกข้อมูลในขั้นตอนนี้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของข่าวร้าย ความแตกต่างของแต่ละบุคคล ความสนใจของคนๆนั้น ข้อมูลที่คนผู้นั้นอยากทราบ ความคาดหวังของคนนั้น และการตอบสนองต่างๆที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น- ก่อนจะแจ้งข่าวร้าย ให้ส่งสัญญาณเตือนให้กับคนนั้นทราบและทำใจก่อน เช่น “พอดีผมพึ่งทราบเรื่อง…… ซึ่งมันไม่ค่อยดีเลย แต่ผมจะแจ้งให้คุณทราบ”
– หากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีศัพท์เฉพาะให้เลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมและผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ หลีกเลี่ยงคำศัพท์ หรือภาษาที่คนนั้นจะฟังไม่เข้าใจ
– หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลแบบทื่อๆ เช่น “คุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แทบไม่มีโอกาสรอด” แบบนี้ เพราะจะทำให้เค้ารู้สึกโดดเดี่ยวและโกรธ
– บอกข้อมูลทีละน้อย ค่อยๆให้คนนั้นทำความเข้าใจ และระวังอย่าให้กระทบกับความรู้สึกมากจนเกินไป
– สังเกตและประเมินปฏิกิริยาต่างๆเป็นระยะๆ ตรวจสอบเรื่อยๆว่าผู้รับสารเข้าใจไหม และอยากจะทราบข้อมูลอีกไหม
– ไม่ควรพูดติดกันยาวๆ ควรเว้นระยะให้ผู้ฟังมีโอกาสถามเป็นระยะๆ
– หากเป็นเรื่องที่เยอะ ซับซ้อน และเข้าใจยาก ไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลทั้งหมดในครั้งเดียว ในบางครั้งอาจต้องกลับมาให้ข้อมูลซ้ำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
– หลีกเลี่ยงคำพูดที่จะบั่นทอนหรือทำลายความหวังของผู้ฟัง เช่น “ผมไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้อีกแล้ว” - ดูการตอบสนองของอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่ได้รับข่าวร้ายการตอบสนองนั้นมีหลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อาจจะเงียบ ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ โกรธ หรือร้องไห้ก็ได้ เราควรเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกดังกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ และเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม- สบตาผู้ฟัง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
– ตั้งใจฟัง และสังเกตปฏิกิริยาต่างๆ โดยเฉพาะ สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และภาษากายต่างๆ
– ถ้าเป็นไปได้ พยายามให้เค้าบอกหรือบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น “บอกหน่อยได้ไหมครับ ว่าขณะนี้ คุณรู้สึกอย่างไร”
– แสดงให้เห็นว่าเรารับรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเค้า เช่น
คนที่ได้รับข่าวร้าย : ผมไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนั้นมันจะกลับมาอีก ผมคิดว่ามันจบไปแล้วตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว
คนบอกข้าวร้าย : ผมเข้าใจ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอามากๆ ถ้าเกิดขึ้นกับผม ผมก็คงรู้สึกแบบนั้น
– หากคนนั้นเงียบ เราอาจใช้คำถามเพื่อสำรวจว่าเค้ากำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอย่างไร
– พยายามหาสาเหตว่าทำไมผู้นั้นจึงตอบสนองเช่นนั้น เช่น บางคนกลัวตาย, บางคนกลัวเป็นภาระของคนอื่น, บางคนกลัวพิการ, บางคนกลัวเสียภาพลักษณ์, บางคนเป็นห่วงเรื่องภาระหรือภารกิจที่ยังจัดการไม่เสร็จ
– แสดงความเห็นอกเห็นใจและแสดงให้เห็นว่าเราจะไม่ทอดทิ้งเค้า เช่น ถ้าเค้าร้องไห้ก็อาจขยับไปนั่งใกล้ๆ ยื่นกระดาษทิชชู่ แตะตัวหรือกุมมือเบาๆ ไม่ควรพูดว่า “อย่าเสียใจไปเลย” เพราะเค้าไม่ผิดที่จะรู้สึกเสียใจต่อข่าวร้าย
– หากเค้ามีอาการโกรธ (อยู่ในระยะโกรธ) อย่าไปโกรธตอบ รับฟังเค้าด้วยความสุภาพ พยายามเข้าใจความรู้สึกของเค้า ถ้าจำเป็นจริงๆให้หยุดคุยไปก่อน แล้วค่อยกลับมาเมื่อเค้าสงบสติอารมณ์ได้แล้ว
– เช็คว่าเค้าผู้นั้นมีสัญญาณการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายหรือไม่ เช่น “หลังจากคุยกันแล้ว คุณจะไปไหนต่อ” หากผู้นั้นอธิบายว่าจะไปสถานที่ที่สุ่มเสี่ยง หรืออธิบายวิธีการที่ตัวเองจะตายได้แจ่มชัด แบบนี้คืออันตรายมากครับ ไม่ควรให้อยู่ตามลำพัง ควรมีญาติหรือผู้เกี่ยวข้องอยู่ด้วยตลอด ถ้าผู้นั้นส่งสัญญาณฆ่าตัวตายให้รีบพาเค้าไปปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วน - สรุปผลเมื่อเค้าผู้นั้นมีท่าทีสบายขึ้น เริ่มยอมรับได้ และเราก็เข้าใจถึงสาเหตและความกังวลของเค้า ให้เราเริ่มสรุปข้อมูลและร่วมวางแผนเรื่องต่างๆกับเค้า ว่าจะเอายังไงกันต่อ พยายามสร้างความมั่นใจไม่ให้เค้ารู้สึกโดดเดี่ยว ถ้าเราไม่สะดวกอาจให้เบอร์โทรศัพท์หรือช่องทางการติดต่อ เพื่อให้เค้าติดต่อและซักถามได้ตลอดเวลา
ข่าวร้ายเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเผชิญไม่ว่าเราจะเป็นผู้ได้รับข่าวร้ายเอง หรือเป็นผู้ที่ต้องบอกข่าวร้าย อย่างไรก็ตามในชั่วชีวิตของคนเรา ก็ต้องได้รับข่าวร้ายหรือต้องบอกข่าวแก่คนใดคนหนึ่ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงควรมีวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมที่จะเข้าใจและบอกข่าวร้ายต่างๆเหล่านั้น เพื่อช่วยให้คนๆนั้นสามารถผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายของชีวิตไปได้อย่างงดงามครับ
ที่มา :
ในส่วนของศิลปะการแจ้งข่าวร้ายข้อมูลส่วนใหญ่ดัดแปลงมาจากบทความ การแจ้งข่าวร้าย (Breaking bad news) โดย นายแพทย์อานุภาพ เลขะกุล

Share this: