WHO บอกว่าเราควรกินผักวันละ 400 กรัม แต่ผลการทดสอบกลับพบปริมาณสารพิษตกค้างในผักเพียบ เราจะทำอย่างไรกันดี?
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยเเพร่คลิปวิดีโอผ่านทาง เฟซบุ๊กเพจ “Mahidol Channel” โดย รศ.ดร.สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์ ศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
ผักผลไม้ไทยในท้องตลาดพบสารเคมีตกค้างตั้งแต่ 85-100% โดย
กะหล่ำปลีพบสารเคมีตกค้าง 100%
ถั่วฝักยาวพบสารเคมีตกค้าง 100%
มะเขือเทศพบสารเคมีตกค้าง 100%
ผักกวางตุ้งพบสารเคมีตกค้าง 99%
ผักบุ้งจีนพบสารเคมีตกค้าง 98%
ผักคะน้าพบสารเคมีตกค้าง 85%
แตงกวาพบสารเคมีตกค้าง 100%
หมายความว่าหากเราซื้อผักจากท้องตลาดมีโอกาสเกือบ 100%!!!! ที่เราจะได้รับสารเคมีตกค้าง
นอกจากพบสารตกค้างในร้อยละที่สูงแล้ว ยังพบว่าผักผลไม้หลายชนิดปนเปื้อนด้วยสารเคมีหลากหลายชนิด ยกตัวอย่าง เช่น คะน้าพบสารเคมีปนเปื้อนถึง 12 ขนิด, มังคุดพบสารเคมีปนเปื้อนถึง 20 ขนิด, ส้มพบสารเคมีปนเปื้อนถึง 21 ขนิด
จากการทดลองพบว่า “ราคา” ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผักนั้นจะปลอดภัย กล่าวคือ ไม่ว่าจะราคาถูกหรือราคาแพงก็พบสารปนเปื้อนเหมือนๆกัน เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ แม้ว่าผักนั้นจะได้รับการรับรองว่าเป็นผักปลอดภัย, สารอินทรีย์ หรือผักปลอดสายพิษ ก็ไม่ได้พบปริมาณสารเคมีปนเปื้อนแตกต่างไปจากผักตามท้องตลาดทั่วไปแม้แต่น้อย
แล้วทำอย่างไร จึงจะกินผักได้อย่างปลอดภัย?
คำตอบคือ การล้างผักช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
แต่จะล้างด้วยวิธีไหนละ?
จากการศึกษาวิธีล้างผัก 4 วิธี พบว่า
วิธีที่ 1 ล้างด้วยด่างทับทิม ลดปริมาณสารตกค้างได้ 20-30%
วิธีที่ 2 ล้างด้วยน้ำส้มสายชู ลดปริมาณสารตกค้างได้ 30-40%
วิธีที่ 3 ล้างด้วยผงฟู ลดปริมาณสารตกค้างได้ 30-40%
วิธีที่ 4 ล้างด้วยน้ำไหล สามารถลดปริมาณสารตกค้างได้ถึง 60-70%
ดังนั้นการล้างผักด้วยน้ำไหลจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ
วิธีการล้างผักด้วยน้ำไหลมีดังนี้
- แช่ผักที่ต้องการล้างไว้ 10 นาที
- เปิดน้ำไหลผ่านตลอด
- ถูผักทีละใบนาน 2 นาที
![]()
Share this: