เคล็ดไม่ลับ รักษาสิวอุดตัน
พูดถึงเรื่องสิว ปัญหาที่ไม่สิวๆ สำหรับสาวๆ >< คำถามที่มักเจอบ่อยๆ คือ เป็นสิวอุดตัน จะรักษาสิวอุดตันยังไงดีคะ?
วันนี้ Jaslyn จะมาบอกเล่าเรื่อง การรักษาสิวอุดตัน กันค่ะ … บทความนี้ยาว แต่อ่านแล้วคุ้มค่าค่ะสาวๆ
สิวเป็นปัญหาที่พบได้เยอะในวัยรุ่น และในบางคนถึงแม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วก็ยังคงพบการเกิดสิวอยู่ ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า มีประชากรที่เป็นสิวถึง 50 ล้านคน!!! >< ยังมีเพื่อนร่วมทางสิวอีกมากมายค่ะ อย่าท้อในการรักษาสิวค่ะทุกคน
สิวอุดตัน คือ อะไร?
สิวเกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกินไป และเกิดความผิดปกติของการสร้างชั้นเคอราตินเพิ่มมากขึ้น เกิดเป็น ไมโครคอมีโดน (Microcomedone)
สิวอุดตัน จะเกิดจากการพัฒนาของ ไมโครคอมีโดน (Microcomedone) : เป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
- สิวหัวเปิด หรือ ที่เรารู้จักกันดีว่า คือ สิวหัวดำ/สิวเสี้ยน (Blackhead)
- สิวหัวขาว หรือสิวหัวปิด (White head/Closed comedone) จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีใกล้เคียงกับผิวหนังเรา ไม่มีการอักเสบ
อย่างไรก็ตาม สิวอุดตัน ก็สามารถจะเกิดการพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบในอนาคตได้ค่ะ เมื่อได้รับเชื้อ P.acne
อย่างแรกที่ต้องบอกก่อนเลยสำหรับทุกคนที่เป็นสิวเลยนะคะ สามารถใช้ได้กับสิวทุกประเภท และสำคัญมาก คือ
ต้องใจเย็นๆ ในการรักษา มีความอดทน ใช้ยาต่างๆอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย และห้ามแกะ บีบสิว เพราะจะทำให้สิวเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มือเรา และการบีบ กด ที่ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเสียหาย และเกิดรอยดำจากสิวตามมาอีกตะหาก กลายเป็นปัญหาที่ยากต่อการแก้ไขมากขึ้น
คำแนะนำสำหรับทุกคนที่เป็นสิวอุดตัน
1. รับประทานอาหาร เน้นเป็นกลุ่ม Low glycemic index คือ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (glycemic index < 55) เช่น ข้าวซ้อมมือ แอปเปิ้ล มันฝรั่งนึ่ง อาหารกลุ่มนี้ถูกย่อยช้าๆ แล้วกลูโคสจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้าๆเช่นกัน ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดก็จะขึ้นช้าและคงอยู่นาน จากการศึกษาพบว่าอาหารกลุ่มนี้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดการรับประทานผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนม จากการศึกษาในนักเรียนหญิง พบว่าการรรับประทานนมขาดมันเนย (skim milk) > 2 แก้ว/วัน เพิ่มการเกิดสิว 44% และจากการศึกษาในเด็กชาย อายุ 18-30 ปี จำนวน 88 คน พบว่า การรับประทาน นม หรือ ไอศกรีม ≥ 1 ครั้ง/สัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยงการเกิดสิวมากขึ้น 4 เท่า
2.รักษาความสะอาด เพื่อลดสิ่งสกปรกบนใบหน้า ทั้งจากมลภาวะแวดล้อม และมือเราที่สกปรกเผลอไปจับ แต่ก็ไม่ควรล้างหน้ามากเกินไป วันนึงประมาณ 2 ครั้งกำลังดี แต่หากวันไหนเลอะเทอะ เหงื่อออกมาก จะล้างเพิ่มขึ้นเพื่อความสะอาดเป็นพิเศษก็ไม่เสียหาย
เพราะการล้างหน้ามากเกินไป หรือใช้โฟมล้างหน้าที่มี pH สูงๆ ก็ทำให้หน้าแห้งได้ และเมื่อหน้าแห้ง ผิวแห้ง ร่างกายก็จะชดเชยความชุ่มชื้นที่เสียไปด้วยการผลิตไขมันออกมาเพิ่มขึ้นแทน ก็จะกลายเป็นหน้ามัน และสิวตามมาในที่สุด ดังนั้น การรักษาความสะอาดก็ต้องมีความพอดีค่ะ
3.ใช้ยาในการรักษา แต่วิธีนี้แนะนำปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ รับรองว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดีและถูกต้องค่ะ
ยาที่ใช้ในการรักษาสิวอุดตัน ที่สามารถใช้ได้ คือ กลุ่ม Tretinoin ซึ่งจะมีฤทธิ์ในการละลายหัวสิว (Comedolytic) และเร่งการผลัดเซลล์ผิว การใช้ต้องเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำสุดก่อน คือ 0.025% (ความเข้มข้น มีตั้งแต่ 0.025% – 0.1%) ยาตัวนี้ในระหว่างที่ใช้ต้องหลีกเลี่ยงแสง คือ ทาแล้วปิดไฟนอนเลยดีที่สุด และต้องใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยในระหว่างวัน เพราะโครงสร้างยาไวต่อการเกิดปฎิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับแสง อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ แม้ประสิทธิภาพในการลดการเกิดสิวอุดตันจะค่อนข้างดี แต่ก็พบอาการข้างเคียงบ่อยเช่นกัน ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการใช้ยา อาจมีผื่นหรือสิวเห่อขึ้น แต่หลังจากการใช้ต่อเนื่อง 3-4 เดือน อาการจะดีขึ้นค่ะ นอกจากนี้อาการข้างเคียงอื่นๆที่อาจพบได้บ่อย เช่น ระคายเคือง ผิวแดง แสบ ลอกเป็นขุย และแพ้แสง หากมีอาการมากๆอาจลดระยะเวลาจากการทาจากทุกวัน เป็น 2-3วัน ทา 1 ครั้งได้ หรือใช้ร่วมกับมอยเจอไรเซอร์ จะช่วยให้ทนต่อยาได้ดีข, Adapalene เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างให้ไวต่อแสงน้อยกว่า ลดการระคายเคือง และเพิ่มการทนต่อแสง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงอยู่ค่ะ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่าง 2 ตัวนี้ในการลดการเกิดสิวอุดตัน อยู่ที่มากกว่าหรือ เท่ากับ คือ งานวิจัยเปรียบเทียบยังไม่มากพอที่จะสรุปได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่า Adapalene เหนือกว่าชัวร์ๆ ผลยังก้ำกึ่งมีทั้งเสมอ และเหนือกว่า
ส่วนตัวอื่นที่สามารถใช้ได้แต่ผลรองลงมาในการลดการอุดตัน คือ Azelaic acid และ Benzoyl peroxide (BP)
Azelaic acid มีฤทธิ์ละลายหัวสิวเช่นกัน, สามารถลดเชื้อ P.acne และลดปริมาณไขมันที่ผิวหนังได้ จะใช้ในคนที่ทนต่ออาการข้างเคียงของ Tretinoin และ Benzoyl Peroxide ไม่ได้ และมีข้อดีในผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอ ตัวนี้ทาทั่วใบหน้า วันละ 2 ครั้ง จะเริ่มเห็นผลเมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน ตัวนี้มีผลข้างเคียงเรื่องการทำให้เกิดการระคายเคืองอยู่เช่นกัน
Benzoyl peroxide (BP) ตัวนี้จะเด่นตรงสามารถฆ่าเชื้อ P.acne ได้ และยังไม่พบว่าทำให้ดื้อยา เชื้อตัวนี้จะทำให้สิวอุดตันพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบ BP สามารถลดการอุดตันของสิวได้จากผลที่ช่วยลดการสร้างไขมันบนผิวหนัง ยาตัวนี้จุดที่ขอเน้นเลย คือ ทาแล้วต้องล้างออกค่ะ!!! ช่วงแรกจะต้องเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำสุดก่อน เช่นกัน คือ 2.5% และทาในระยะเวลาสั้น 5-10 นาที แล้วล้างออก วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อดูการระคายเคืองผิว ค่อยๆปรับให้ผิวทนต่อยา ด้วยการเพิ่มเวลา
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยๆ คือ ระคายเคืองผิวหนัง หน้าแดง แสบ แห้ง ลอก
เล่าตัวที่ได้ผลกับการรักษาสิวอุดตันไปแล้ว มาเล่าตัวที่ ไม่แนะนำ!!! บ้างค่ะ
- ยาปฎิชีวนะ เช่น Clindamycin 1% ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่ได้ลดการอุดตัน ดังนั้นไม่ต้องใช้ ไม่เกี่ยวกัน ใช้ต่อเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ตัวนี้เป็นอีกตัวที่อยากเล่า เป็นตัวที่ลูกค้ามาซื้อกันบ่อยในร้านยา และเภสัชกรมักไม่แนะนำให้ใช้แค่ตัวนี้ตัวเดียว เค้าจะแนะนำ Benzoyl peroxide เพิ่ม ไม่ใช่เค้าอยากจ่ายยาเพิ่ม ได้ตังเพิ่มนะคะ หลายคนเข้าใจผิด โกรธเภสัชอีก 555 >< ที่เค้าแนะนำเพราะการใช้ยาปฎิชีวนะในรูปแบบทาแค่ตัวเดียว (Monotherapy) มันทำให้เชื้อดื้อยาค่ะ!!! ตามแนวทางการรักษาสิวเค้าให้ใช้คู่กันกับ Benzoyl peroxide เพราะจะช่วยลดการเกิดเชื้อดื้อยาได้ ดังนั้น ควรใช้คู่กันค่ะ
- การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย อันนี้ก็ไม่แนะนำ และไม่แนะนำให้สาวๆซื้อมากินเอง ในการรักษาสิวด้วยค่ะ จะใช้เฉพาะในกรณีที่สาวคนนั้นมีลักษณะบ่งชี้ว่ามีฮอร์โมนเพศชายสูงกว่าคนปกติเท่านั้น ไม่ใช่ใครอยากกินก็กินได้ค่ะ
- การรับประทาน Isotretinoin (เฉพาะแบบกินนะ ไม่เกี่ยวกับแบบทา) อันนี้ห้ามเลยค่ะ ห้ามซื้อตามอินเตอร์เน็ตมากินเองเด็ดขาด ตัวนี้ไม่มีจ่ายในร้านยาอยู่แล้ว ผิดกฎหมาย ต้องจ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อาการข้างเคียงเยอะมาก เช่น กล้ามเนื้อถูกทำลายอย่างรุนแรง (rhabdomyolysis), ปวดกล้ามเนื้อ, ผิวแห้ง, ปากแห้ง, ผมร่วง, ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง, กระดูกพรุน เปราะ, เป็นพิษต่อตับ (กินแล้วต้องตรวจติดตามค่า เอนไซม์ตับด้วย), ซึมเศร้า, ได้ยินเสียงหวีดในหู
Isotretinoin จะใช้ในเคสที่เป็นสิวแบบรุนแรงเท่านั้น!!! แค่สิวอุดตันอย่างเดียว ตามหลักการรักษาเค้าไม่จัดว่าเป็นสิวแบบรุนแรงค่ะ ดังนั้นอย่าใช้เอง ไปหาคุณหมอนะคะ คุณหมอช่วยได้ ใครอยากกินเองซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต วนกลับไปอ่านอาการข้างเคียงใหม่อีกหลายๆรอบค่ะ
4.การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA เช่น Latic acid, BHA เช่น Salicylic acid ผสมอยู่ (โทนเนอร์,โฟมล้างหน้า,เซรัม,ครีม) พวกนี้เป็นการรักษาทางเลือกในการลดการเกิดสิวอุดตัน เพราะจะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว และลดการสะสมของเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าที่ตาย ในเรื่องประสิทธิภาพจะน้อยกว่ายาทากลุ่มด้านบนที่เล่าไป ใช้สำหรับคนที่เป็นสิวไม่รุนแรง หรือทนอาการข้างเคียงของยากลุ่มด้านบนไม่ได้ ก็อาจจะเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้แทน อาการข้างเคียงที่อาจพบ เช่น ผิวแห้ง แดง ลอกเป็นขุย ดังนั้นไม่แนะนำให้ใช้กลุ่มนี้ควบคู่กับยากลุ่มด้านบนค่ะ เพราะเพิ่มการระคายเคืองเฉยๆ และประสิทธิภาพด้อยกว่ายา
5.มาสค์หน้าด้วยโคลน (Clay mask) สามารถช่วยลดสิวอุดตันได้ค่ะ ใช้ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
6.เลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เช่น มีลักษณะที่เป็น Water base, ไม่มีการใช้ส่วนประกอบของน้ำมันที่ก่อให้เกิดการอุดตัน เป็นต้น สามารถประเมินได้คร่าวๆจากค่า Comedogenic Rate แต่ไม่ 100% ต้องดูผลการวิจัยอื่นๆประกอบด้วยค่ะ
7.ส่วนวิธีนอกเหนือจากนี้ เช่น ไอออนโตหรือโฟโน, เลเซอร์สิวอุดตัน, กดสิว ฯลฯ แนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหนังค่ะ เพื่อพิจารณาเป็นรายๆไป
แล้วพบกับบทความใหม่ๆจาก Jaslyn ได้ทุกวันค่ะ
อ้างอิง:
– European evidence based Guidelines for the treatment of acne 2011
– Guidelines of care for the management of acne vulgaris 2016

Share this: